พวกเขาที่ช่างต่างกันสุดขั้ว......
-- โปรเจ็ค Free Talk 30 นาทีกลับมาอีกครั้ง คู่แรกที่เพิ่งผ่านพ้นไป.. รุกิ (the GazettE) กับ โช (Alice Nine) เป็นครั้งแรกที่โชคุงได้พูดคุยกับรุ่นพี่ของเขาแบบนี้ และเขาก็ค่อนข้างตื่นเต้นด้วยล่ะเนอะ
โช : ใช่แล้วครับ (หัวเราะ) แต่ก็สมควรตื่นเต้นนะ ก็เขาเป็นรุ่นพี่นี่นา
ทาเครุ : นั่นน่ะสิ
เวลาที่ผมมองรุกิซัง
เขาเป็นอีกคนนึงที่ผมอยากจะคุยด้วยนะ ..เขาน่ากลัวมั้ยครับ?
โช : ไม่หรอก เขาเป็นคนเปิดเผยแล้วก็ใจดี อาจจะฟังแปลกๆ ที่ฉันซึ่งเป็นรุ่นน้องพูดถึงเขาแบบนี้.. เขาเป็นคนที่มีบุคลิกน่ารักมากเลยนะ แต่เขาเติบโตมาในโครงสร้างสังคมแบบแนวดิ่ง นายต้องเคารพในตัวเขาให้มากๆล่ะ
ทาเครุ : ครับ เข้าใจแล้วล่ะ
-- ถึงแม้จะอยู่บริษัทเดียวกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอกันใช่มั้ย
โช : ไม่เลยครับ ถึงแม้จะมีอีเว้นท์ที่ได้ทำร่วมกันบ้าง
แต่ก็ไม่มีเวลามากพอจะพูดคุยกัน
-- เพราะอย่างนั้นโชคุงเลยเลือกทาเครุมาในครั้งนี้สินะ
ทาเครุ : ขอบคุณครับ! ผมดีใจมากเลยล่ะ!
โช : เช่นกันๆ
เขาดูเป็นคนน่าสนใจ
แล้วผมก็หาเวลาเหมาะๆที่จะได้คุยกับเขาอยู่แล้ว ที่จริงก็เคยให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารร่วมกันกับเขาแล้วก็ชิน
(ViViD) ด้วยนะ
แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้อะไรเกี่ยวกับทาเครุเยอะแยะหรอก เลยอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นน่ะ
ทาเครุ : แต่โชซังเป็นรุ่นพี่คนเดียวในบริษัทที่ชวนผมออกไปกินข้าวนะ!
โช : อ๊ะ จริงสินะ คิดว่าไม่เสียหายอะไรนี่นา ก็เลยลองชวน
แล้วเขาก็ตอบตกลง (หัวเราะ)
แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับเขาอยู่ดีแหละ เพราะงั้นขอใช้โอกาสนี้คุยกับเขาให้เต็มที่
ทาเครุ : แน่นอนครับ! ด้วยความเต็มใจเลยล่ะ!
โช : ฉันชอบเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ถ้าจะลองเปรียบเทียบทาเครุกับบุคคลในประวัติศาสตร์สักคน.. ก็ต้องประมาณโอดะ
โนบุนางะ แล้วถ้าพูดถึงโคกับริวโฮะ..
โคเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถยอดเยี่ยม
แม้ริวโฮจะไม่ได้มีความสามารถมากมาย แต่ก็เป็นผู้นำที่คำนึงถึงความสุขของผู้ใต้บังคับบัญชา
ฉันคิดว่า ฉันเหมือนอย่างหลังนะ
ส่วนทาเครุจะมีบุคลิกที่ตรงกันข้ามกับฉันเลยล่ะ จริงมั้ย? ฉันเป็นคนที่ชอบสังเกตท่าทีของคนอื่นก่อนเสมอ แต่ทาเครุเป็นคนมีเสน่ห์ เลยน่าจะเป็นคนแบบที่ชอบเริ่มทำอะไรก่อนคนอื่นน่ะ
[ ช่วงสาระมีอยู่จริง!! ข้ามไปได้นะ
ไม่สำคัญอะไรหรอก ฮ่าๆๆ
โค (หรือ “เซี่ยงอวี่” ในภาษาจีน) เขาคือแม่ทัพของกบฎชาวนาที่ต่อต้านราชวงศ์ฉิน
เป็นคู่ปรับกับ ริวโฮ (หรือ “หลิวปัง” ในภาษาจีน) ภายหลังได้กลายเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ฮั่น จากการโค่นล้มราชวงศ์ฉินลงได้
ค่ะ
ส่วนโอดะ โนบุนางะ เป็น ไดเมียว และหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเซ็งโงคุ เป็นหนึ่งในสามผู้รวบรวมญี่ปุ่นจากความแตกแยกในยุยุคเซ็งโงคุ ..อาจมีคนเคยได้ยินนะจากการ์ตูน
หนัง หรือเกมส์ แฮะๆ คร่าวๆแค่นี้ล่ะค๊าฟฟฟ]
ทาเครุ : ไม่รู้สินะ
ถ้าเป็นเรื่องของตัวเอง
ผมก็พูดไม่ค่อยถูกแฮะ ..ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ไม่ค่อยชอบแสดงความรู้สึกออกมา เพราะงั้นเลยตัดสินใจเริ่มทำมันซะเลยดีกว่า
โช : เรื่องแสดงความรู้สึกนี่ฉันถนัดนะ ตอนยังเด็กฉันชอบสังเกตสีหน้าของคนอื่นไปบ่อยๆ
แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายมันได้
ตอนนี้ก็เลยคิดว่า “ต้องทำยังไงถึงจะส่งผ่านความรู้สึกออกไปได้กันนะ?” แถมยังชอบอ่านหนังสือเยอะแยะ ทำให้ฉันสามารถที่จะถ่ายทอดความรู้สึกสื่อไปถึงคนอื่นได้ง่ายขึ้นน่ะ
ทาเครุ : ครับ.. ผมแสดงออกไม่ค่อยเก่ง หรือพูดให้ถูกก็ไม่ค่อยอยากแสดงออกมาล่ะมั้ง
แต่ถ้าลองฟังเพลงที่ผมแต่ง ก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่เรารับรู้กับสิ่งที่เราแสดงออกมามันค่อนข้างต่างกัน เนื้อเพลงของโชซัง
จะเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นนามธรรมค่อนข้างเยอะ อย่าง.. อวกาศ?
แต่เนื้อเพลงของผมจะเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่า ก็เหมือนที่โชซังพูดว่า พวกเราตรงกันข้ามกันสุดๆนั่นแหละ
แต่เขาเองก็เป็นคนที่แตกต่างจากแบนด์แมนทุกวงในบริษัทมากที่สุดด้วยนะครับ
แต่ก็นั่นแหละ.. ทุกวงล้วนมีสไตล์ที่ต่างกัน อย่างเนื้อเพลงของรุกิซังก็จะอิงหลักความเป็นจริงใช่มั้ยครับ?
เขามักจะเขียนเพลงที่เปิดเผยตรงไปตรงมา และเคารพต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ผมน่ะ.. ไม่คิดจะแต่งเพลงแบบโชซังหรอกครับ เพราะผมทำไม่ได้อะ ดังนั้นผมจึงคิดว่า
ความรู้สึกของเรานั้นต่างกัน
เพลงแบบที่เขาแต่งเหมาะกับ Alice
Nine ที่สุดแล้ว เป็นเพลงที่ไม่ได้วาดภาพให้เห็นเรื่องราวทั้งหมด
ถ้าให้เปรียบกับหนังก็เหมือนหนังฝรั่งเศสครับ แม้ไม่เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ยังมองเห็นมุมมองที่ยอดเยี่ยมผ่านเศษเสี้ยวที่เหลืออยู่ได้
โช : อืม ก็อย่างที่นายพูดนั่นแหละ นายดูจะสนใจพวกเรามากเลยนะ (หัวเราะ)
ทาเครุ : แน่นอนอยู่แล้ว! ผมตามฟังเพลงใหม่ๆตลอดเลยล่ะ
ทั้งเพลงใหม่ของรุ่นพี่และรุ่นน้อง
แล้วก็ตามส่อง PV ด้วยน๊า
โช : ออกแนวกระหายนะเนี่ย.. ทาเครุ
ทาเครุ : ก็ผมกลัวอะ ถ้าไม่ตามเก็บข้อมูลทุกอย่าง มันรู้สึกเหมือนจะไม่มีทางไล่ตามได้ทัน น่ากลัวจริงๆนะ รู้มั้ย.. ผมเป็นคนขี้กลัวนะครับ
โช : นายเนี่ยนะ?
ทาเครุ : อื้อๆ ขี้กลัวมากกกกก
-- ฉันไม่คิดแบบนั้นเลยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยล่ะ
ทาเครุ : ครับ ไม่น่าเชื่อมากๆ (หัวเราะ) แต่ผมก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่แสดงให้เห็นนะ เลยแกล้งทำเป็นกล้าหาญแล้วก็มั่นใจในตัวเอง (หัวเราะ)
โช : เข้าใจล่ะ น่าชื่นชมจริงๆนะ
ทาเครุ : ผมจะตั้งเป้าหมายไว้เสมอเลยล่ะครับ ..“ฉันต้องเป็นแบบนี้ให้ได้ใน One man Live” หรือ “ซิงเกิ้ลนี้ต้องทำให้ฉันก้าวหน้าขึ้นไปอีก” แล้วก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อความสำเร็จ แต่ผมก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่คิดไว้หรอก มันทำให้ผมคิดว่า ต้องสามารถทำวงต่อไปได้แน่ๆ คงเป็นส่วนหนึ่งของความกระหายที่โชซังพูดถึง แล้วก็คงรวมถึงความกลัวด้วยล่ะนะ
เพราะผมชอบคิดทำนองว่า “ฉันควรจะทำแบบนี้เหรอ” หรือ “ฉันควรทำอะไรเพื่อให้ก้าวไปถึงจุดนั้นได้กันนะ”
นั่นเพราะความกลัวทั้งนั้น ไม่งั้นก็ “ฉันต้องทำแบบนี้เพื่อไปถึงจุดนั้นสินะ”
หรือ “ฉันไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้ ถ้ายังไม่สามารถข้ามผ่านจุดนี้ไป..
แล้วฉันต้องทำยังไงกันล่ะ...” บางทีความกลัวก็ทำให้ดูเหมือนว่าเรากระหายมั้ง
โช : เข้าใจแล้วล่ะ ฉันเองเวลาที่ทำงานกับทุกคนในวง มักจะมีความรู้สึกประหลาดๆ อย่าง.. “ชีวิตนี้ที่มีอยู่ได้ส่งผลต่อโลกใบนี้แค่ไหนกันนะ?” ฉันอาจจะไม่มีประสบการณ์แบบที่ทาเครุเจอ แต่ฉันเคารพในทัศนคติของนายนะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันไม่มี
ทาเครุ : มีแต่คนบอกว่าผมน่ะ คิดมากเกินไปแล้ว... แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในบุคลิกของผมด้วยล่ะ...
คำสัญญาที่คาดไม่ถึง......
-- ทาเครุคุง คิดว่าโชคุงเป็นคนแบบไหนเหรอ?
ทาเครุ : จะเป็นอะไรมั้ย? ถ้าผมจะขอพูดในฐานะของคนที่ฟังเพลงของเขา ไม่ใช่จากมุมมองของรุ่นน้อง ขอโทษนะครับ ถ้าทำให้รู้สึกโกรธ
โช : ไม่เป็นไร.. ตามสบายเลย
ทาเครุ : โชซังบอกว่า เขาเป็นคนประเภท “ไม่ได้มีความสามารถมากมาย
แต่ก็เป็นผู้นำที่คำนึงถึงความสุขของผู้ใต้บังคับบัญชา” สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจในตัวเขาก็คือ
เขาคอยปกป้องวงด้วยชีวิตของเขามาตลอด
ผมคิดแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วล่ะ
ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงของ Alice
Nine ก็คือ มินิอัลบั้ม “Kasou Musou Shi” ตอนนั้นผมตัดสินใจเดินไปที่ร้านซีดี
และซื้อทันทีเลยครับ
โช : โหวว ขอบคุณมากนะ (หัวเราะ)
ทาเครุ : ฮ่าๆๆ ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมสิต้องพูดคำนั้น ผมยังติดหนี้โชซังอยู่นะ (หัวเราะ) ผมสนใจในแนวดนตรีแบบนั้นมากเลยนะครับ มันเป็นแบบกลางๆ ที่ผสมผสานกันระหว่างสไตล์ญี่ปุ่นกับตะวันตก สีสันของมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ผมคิดว่ามันน่าสนใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งถูกดึงดูดมากขึ้น
มันทำให้ผมรู้สึกว่า วงดนตรีน่ะ มันก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตนะ
และในบรรดาวงดนตรีมากมาย โชซังจะคอยเฝ้ามองทุกคนในวง เพื่อช่วยเหลือค้ำจุนกันและกัน เอ่อ.. ขอโทษนะครับ ถ้าฟังดูน่ารำคาญน่ะ
โช : ไม่เลย
ฉันมีความสุขจริงๆนะ ฉันรู้สึกยินดีที่ได้ฟังความเห็นที่ซื่อสัตย์มากกว่าคำชมเชยที่ไม่ได้ออกมาจากใจ ครั้งก่อนฉันก็พูดชม the GazettE ไม่หยุดเหมือนกันนะ (หัวเราะ)
แต่ฉันสามารถพูดออกมาได้ เพราะฉันคิดแบบนั้นจริงๆ การชมใครสักคนโดยที่เขาอยู่ตรงหน้าเราน่ะ มันเขินสุดๆไปเลย แต่ที่สามารถพูดได้ก็เพราะว่าสิ่งที่คิดกับสิ่งที่พูดมันตรงกัน
ฉันเป็นคนนึงที่โกหกไม่เก่ง
ถ้าไม่คิดว่าเขายอดเยี่ยม ก็คงพูดออกไปไม่ได้ ฉันชอบสิ่งที่ทาเครุพูด เพราะนายไม่ได้กำลังโกหก รู้สึกเหลือเชื่อเลยแฮะ ที่นายตรงไปตรงมาแบบนี้
ทาเครุ : ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมเคยโดนติเรื่องเถรตรงมากเกินไปด้วยล่ะ
(หัวเราะ) ผมมักจะพูดสิ่งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกกังวลน่ะ... แต่จริงๆแล้ว
ผมก็แค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเอง
โช : เพราะนายเป็นคนตรงๆ เลยกลายเป็นเป้าให้ถูกติชมบ่อยๆ ฉันคิดว่า มันเป็นหลักฐานว่าคนอื่นๆ สนใจในตัวนาย นั่นเป็นสิ่งที่ดีนะ.. ทาเครุ ส่วนฉันที่เป็นคนเฉื่อยๆ เวลาโดนติก็ไม่ค่อยสะทกสะท้านอะ (หัวเราะ)
ทาเครุ : ฮ่ะๆๆ นั่นสินะ (หัวเราะ) ขอบคุณนะครับ
ผมรู้สึกดีที่โชซังตอบกลับมาแบบใจดีอย่างนี้ ..คุณบอกว่าชอบอ่านหนังสือ แล้วเป็นหนังสือแนวไหนเหรอครับ?
โช : ฉันอ่านงานของอกาธ่า
คริสตี้เยอะมากเลยล่ะ เหมือนได้หลบหนีไปจากโลกแห่งความเป็นจริง ฉันชอบการใช้คำที่เต็มไปด้วยจินตนาการ แล้วก็ยังมีงานของเอโดกาวะ รันโปะ กับ มิยาซาวะ เคนจิ ที่อ่านบ่อยๆ ด้วย ฉันชอบอ่านเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นนามธรรม ..แนวลึกลับกับแฟนตาซีก็ชอบนะ
ทาเครุ : ผมเข้าใจนะ ว่าทำไมถึงชอบอกาธ่า คริสตี้กับเอโดกาวะ
รันโปะ เพราะผมก็ชอบงานของเอโดกาวะ รันโปะ
เหมือนกันครับ
โช : จริงเหรอ.. เห๊? นั่นทำให้ฉันคิดว่า นายคงไม่ได้พยายามทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นหรอกนะ
-- เพราะโชคุงไม่ได้เป็นทางการจนเว่อร์เองตังหากลล่ะ ฉันเจอรุกิหลังจากการ Free Talk ครั้งที่แล้วด้วยนะ เขาถามว่า “ครั้งต่อไปโชคุงกับทาเครุใช่รึเปล่า? บอกผมด้วยนะว่า โชคุงเป็นยังไงบ้าง (หัวเราะ)” ดูเขาโคตรอยากรู้อะ (หัวเราะ)
โช : ไม่น๊าๆ อย่าไปเล่าให้เขาฟังเลยครับ (หัวเราะ) ตอนที่คุยกับรุกิซัง เราพูดถึงสมัยยุโทริกันด้วยนะ (หัวเราะ)
ทาเครุ : เป็นสมัยที่ทำให้คนสับสนกันเลยทีเดียว ผมคิดว่า ผู้ใหญ่เขาคงคิดประมาณว่า “ฉันจะทำให้พวกเธอผ่อนคลายขึ้น
ก็จงผ่อนคลายซะ” แต่ผมกลับรู้สึกว่า คนที่ควรจะได้รับมัน น่าจะเป็นคนที่ทำงานในระดับสูงๆมากกว่า
โช : ใช่แล้วล่ะ
ทาเครุ : แต่คงเพราะในรุ่นเรามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น
ทำให้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า พอ “สมัยยุโทริ” เริ่มขึ้น โทรศัพท์มือถือก็เริ่มแพร่หลาย แล้วคุณค่าของคนก็เหมือนถูกตัดสินจากระดับความโดดเด่น มันค่อนข้างน่ากลัวนะ
โช : อื้อ ไม่ใช่ว่าเราไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
แต่วิธีการที่เราจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในชีวิตด้วย
ทาเครุ : เห็นด้วยครับ
มันเริ่มเปลี่ยนแปลงตอนผมยังเป็นนักเรียน หรืออาจจะเด็กกว่านั้น เวลาสัญญาว่า ไปหาใครสักคน
ก็เปลี่ยนจากบอกกันซึ่งๆหน้าเป็นส่งเมล์หากันแทน ตอนนี้ถ้าจะไปสายบ้าง ก็ต้องยกโทษให้แหละ
-- ยกโทษให้..ทั้งๆที่ไปสายเนี่ยนะ?
ทาเครุ : ครับ
ตอนไม่มีโทรศัพท์มือถือน่ะ
คุณต้องพยายามไปให้ทันตามนัดใช่มั้ยล่ะ
แต่พอโทรศัพท์มือถือเป็นที่นิยมมากขึ้น
ก็สามารถส่งเมล์ไปบอกได้ว่า “ขอโทษทีนะ
คงไปสายนิดหน่อย” พวกเขาก็ยกโทษให้แล้วล่ะ
โช : อืม ที่นายพูดมามันก็จริงนะ (หัวเราะ) ฉันได้โทรศัพท์มือถือเครื่องแรก ตอนอยู่ม.ปลายล่ะ แต่ก่อนหน้านั้น ฉันไม่รู้จะทำยังไง เวลาที่คนที่เรานัดมาไม่ตรงเวลาอะ (หัวเราะ)
ทาเครุ : เข้าใจเลยล่ะ.. มันเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก เกือบทุกๆครึ่งปีเลยเนอะ นั่นน่ะน่ากลัวจริงๆนะ
โช : คงรู้สึกเหมือนสไตล์การใช้ชีวิตมันเปลี่ยนไปล่ะมั้ง
ทาเครุ : ครับ คนเกิดหลังจากนั้น
3 ปีก็เข้ายุคดิจิตอลพอดีเลย! การเปลี่ยนแปลงของโลกเราเนี่ย น่าทึ่งสุดๆ!
โช : ตกใจมากเลยอะ
เวลาที่คุยกับที่เด็กอ่อนกว่าแล้วเขาไม่รู้จัก『 ดราก้อนบอล 』(หัวเราะ)
ทาเครุ : ฮ่ะ ฮ่าๆ
โช : ฉันอยากให้เขาลอง “ทำความรู้จักกับ『 ดราก้อนบอล 』แล้วก็『 เซนต์เซย่า 』” (หัวเราะ) ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก 『 ดราก้อนบอล 』ทั้งนั้นแหละเนอะ
การที่ฉันจะเข้ากับใครสักคนได้ก็ต้องเอาตรงนี้เป็นเกณฑ์นี่แหละ (หัวเราะ)
-- เอาล่ะ.. จะครบ
30 นาทีแล้วนะ
ทำไมไม่ลองสัญญาอะไรกันสักหน่อยล่ะ?
โช & ทาเครุ : เห๊ะ?! สัญญางั้นเหรอ?!
ทาเครุ : งั้นแกล้งหลอกใครเล่นสักครั้งก็ดีนะ (หัวเราะ)
โช : เราไม่พร้อมที่จะทำแบบนั้นหรอกนะ (หัวเราะ) อ๊ะ
จริงสิ!
ถ้าออกไปช็อปปิง หรือจะไปเที่ยวที่ไหนล่ะก็.. ชวนฉันด้วยนะ เดี๋ยวไปช่วยถือของ (หัวเราะ)
ทาเครุ : อะไรนะ?! ผมไม่มีทางให้ทำแบบนั้นหรอกน่า! ไม่สัญญาหรอกนะครับ!
โช : ฉันต้องไปช็อปปิงคนเดียวทุกทีอะ จะไปแต่ละครั้งเตรียมตัวยังกะไปซ้อมวิ่งแหนะ เป็นพวกไปช็อปกับใครไม่ค่อยได้น่ะ
ทาเครุ : อ๊ะ!
ผมก็เหมือนกันครับ! ต้องไปคนเดียว
แล้วก็คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะซื้ออะไรบ้าง
โช : อืม ฉันเข้าใจนายนะ ..แต่มันไม่เหมือนเราไปช็อปด้วยกันหรอกนะ ฉันแค่อยากดูว่า
นายซื้ออะไรบ้างเท่านั้นเอง
เพราะงั้นให้ฉันไปช่วยถือของนะ (หัวเราะ)
ทาเครุ : โหววว~ เป็นอะไรที่สัญญาได้ยากนะ...
-- ทำไมไม่ยอมพาโชคุงไปด้วยล่ะ
ทาเครุคุง?
ทาเครุ : ก็มันแปลกนี่นา!
โช : ฮ่าๆๆ ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้นเลยนะ (หัวเราะ)
ทาเครุ : ไม่พูดแล้วครับ (หัวเราะ) วันนี้ขอบคุณมากเลยนะครับ!