สิ่งที่สัมพันธ์กันของคน 2
คนซึ่งเป็นรุ่นเดียวกัน?
-- เอาล่ะ ไม่ว่าพวกคุณอยากจะคุยเรื่องอะไรกัน แต่ตามโปรเจค คือ พวกคุณมีเวลา 30 นาทีในการ Free Talk นะ
รุกิ : ฮ่ะฮ่าฮ่า อุปสรรคเยอะจังนะ (หัวเราะ) รู้สึกสั่นๆ ขึ้นมานิดหน่อยแฮะ (หัวเราะ)
โช : เริ่มจะเครียดแล้วอะ
รุกิ : ต้องผ่อนคลายๆ (หัวเราะ) อย่าให้มันตึงเกินไปจะดีกว่าเนอะ สำหรับโปรเจ็คนี้เนี่ย
--
นั่นแหละที่ต้องทำ เข้าใจถูกแล้วล่ะ
(หัวเราะ)
รุกิ : โย๊ชชช อืม ก่อนอื่นก็ต้อง.. ขอฝากตัวด้วยนะครับ
โช : อา.. ขอโทษทีนะ
รุกิ : อะไรกันล่ะ.. อยู่ๆ ก็มาขอโทษซะงั้น! (หัวเราะ)
โช : ไม่ๆ ....ขอโทษนะ (หัวเราะ)
รุกิ : อะไรเล่า! (หัวเราะ)
โช : เปล่าหรอก (หัวเราะ) มันเป็นครั้งแรกที่เราได้มาคุยกันตัวต่อตัวแบบนี้ไง ก็คิดไว้แล้วแหละว่า ต้องตื่นเต้น เพราะได้รับโอกาสที่จะได้พูดคุยกับเมมเบอร์จากวงอื่นๆ และถ้าอยากจะคุยกันแบบนี้อีก.. มันก็ต้องเริ่มจากการได้รับโอกาสให้คุยกันเป็นครั้งแรกก่อนไงล่ะ
รุกิ : นั่นสินะ นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ได้มานั่งคุยกันตัวต่อตัว ..เหลือเชื่อจริงๆ เลยเนอะ
โช
: ปีที่ผมเริ่มฟอร์มวง** the
GazettE ซังก็ครบ 1 ปีแล้วล่ะ ในวันเดียวกันผมได้มีโอกาสขึ้นไลฟ์ที่ Takadanobaba
Phase พวกเรายังเป็นวงเด็กน้อยอยู่เลย
แต่ the GazettE ซังในตอนนั้นเป็นวงที่ทั้งโดดเด่นและสุดยอดมากๆ นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกครับ
[ ** คิดว่า
พี่โชพูดถึงวงเก่านะคะ เพราะปีที่ the
GazettE ครบ 1 ขวบ (10 มี.ค.2003) Alice Nine ยังไม่เกิดเลยค่ะ ^^ และนอกจากวันที่ 10 มี.ค. จะเป็นวันเกิดของ the GazettE แล้ว ยังเป็นวันที่ Alice Nine ได้แสดงไลฟ์เป็นครั้งแรกค่ะ และ Takadanobaba
Phase ก็เป็นไลฟ์เฮ้าส์ที่ the GazettE เคยขึ้นแสดงอีกด้วยน๊า
>w< ]
รุกิ : นี่.. เพลาๆ ลงบ้างเหอะ โชคุง (หัวเราะ)
-- อา.. เพราะมันเป็นหน้าที่ของรุกิคุงสินะ (หัวเราะ)
โช : เอ่อ.. ขอโทษทีครับ ผมว่า.. มันเริ่มต้นค่อนข้างยากนะ (หัวเราะ) แต่ที่อยากจะพูดอีกอย่าง คือ พวกเขาสมกับที่เป็นพี่ใหญ่มากครับ
รุกิ : นี่ๆ เดี๋ยวนะ (หัวเราะ) อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนแก่สิ! เราน่ะ.. รุ่นเดียวกันนะ [ เผื่อใครงงเนอะ.. ที่รุกิอยากสื่อ คือ ให้พี่โชเพลาๆ ความสุภาพลงบ้างค่ะ ซึ่งคนสัมภาษณ์ก็เข้าใจ เลยแซวว่า เป็นหน้าที่ของรุกิตังหากล่ะ เพราะรุกิอ่อนกว่าพี่โชประมาณ 8 เดือน ]
โช : คงงั้นมั้งครับ
รุกิ : ฉันน่ะ.. รู้จักโชคุงตั้งแต่ก่อนจะมาเป็น Alice Nine แล้วนะ ไม่เคยเข้าไปคุยหรอก แต่ก็เคยเห็นอะ
โช : ขอบคุณมากเลยนะครับ!
-- the GazettE ฟอร์มวงตอนปี
2002 ส่วน Alice
Nine ตอนปี 2004 สินะ เพราะงั้นก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่อยู่ 2 ปี
รุกิ : อือๆ แต่มันก็ไม่มากพอจะเรียกว่า รุ่นพี่หรอกน่า
โช : ไม่หรอก ผมว่า 2 ปีมันห่างกันเยอะนะ ผมเริ่มฟอร์มวง VK ครั้งแรกในปี 2002 แต่ตอนนั้นเรายังเหมือนเด็กเล่นกันอยู่เลยอะ
-- ทั้งสองคนน่ะ ตอนที่เคยเจอกันแบบผ่านๆ
มีความประทับใจอะไรในตัวอีกฝ่ายบ้างมั้ย?
โช : ไม่นะ ไม่อยากตอบเลยอ่า
รุกิ : ทำไมล่ะ! (หัวเราะ) แต่ว่า ไม่พูดถึงมันดีกว่าเนอะ
ผมเองก็นึกไม่ค่อยออก แต่ถ้าเป็นความประทับใจตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในบริษัทครั้งแรกจนถึงตอนนี้.. ทุกคนตัวโคตรใหญ่! นั่นเป็นความประทับใจแรกเลยนะ (หัวเราะ)
--
ถ้าไม่นับฮิโรโตะนะ
รุกิ : เอ่อ.. นั่นดิ (หัวเราะ) ในวงของผม พวกเราก็ไม่ได้สูงอะไรมากมาย พอขึ้นลิฟท์พร้อมกับ Alice Nine เลยรู้สึกเหมือนโดนข่ม (หัวเราะ) ขนาดอุรุฮะที่สูงที่สุดในวงก็ยังเตี้ยกว่าโชคุง แล้ววันนั้นผมยืนข้างๆ โทระด้วยนะ โดนข่มหนักสุดอะ (หัวเราะ)
โช : โทระสูงที่สุดใน Alice Nine เลยล่ะ ประมาณ 182 ซม. ได้มั้ง
รุกิ : 182 ซม.เนี่ยนะ! นี่มันเมืองยักษ์ชัดๆ
โช : ฮ่ะฮ่าๆๆ เมืองยักษ์เลยเหรอ (หัวเราะ)
-- เอ้อ..
ขอพูดถึงเรื่องครอบครัวบ้างสิ
รุกิมีพี่ชาย 2 คน
เพราะงั้นก็เป็นน้องชาย
ส่วนโชคุงมีน้องสาว
เพราะงั้นก็เป็นพี่ชาย ตอนนี้บทบาทน้องชายกับพี่ชายเหมือนจะกลับกันซะแล้วสิ
(หัวเราะ)
รุกิ : อืม ก็จริงนะ ตอนนี้เราสองคนอยู่ในฐานะที่ให้ความรู้สึกแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ถึงแม้ว่าบทบาทมันจะดูสลับกัน แต่ผมก็ยังมีอิมเมจแบบน้องชายอยู่นะ (หัวเราะ)
โช : แต่ผมไม่เป็นแบบนั้นนะ ตอนนี้ผมเป็นรุ่นน้อง เลยทำให้มีอิมเมจแบบน้องชายตามไปด้วย คือ วิธีการแสดงออกของผมเวลาที่พูดคุยก็จะทำให้เหมาะสมกับที่พวกเขาเป็นรุ่นพี่น่ะครับ (หัวเราะ)
--
แล้วก็ดูเหมือนว่า
ทั้งคู่จะเติบโตมาจากครอบครัวที่มีการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดมากด้วยสินะ
รุกิ : อื้อ พวกเขาเข้มงวดสุดๆ เลยล่ะ
โช : ผมก็เหมือนกันครับ ทั้งเคร่งครัด ทั้งเข้มงวด
-- แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมาเป็นแบนด์แมนกันได้นะ......
รุกิ : ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า มันเป็นการตอบโต้อย่างหนึ่งน่ะ (หัวเราะ) เป็นผลลัพธ์จากการระบายความรู้สึกให้หลุดพ้นจากความเข้มงวด ขนาดแค่จะย้อมผมพวกเขาก็ยังไม่ยอมให้ทำอะ ครอบครัวของโชคุงก็เข้มงวดเหมือนกันสินะ?
โช : ครับ เข้มงวดมากๆ เลยล่ะ ผมต้องเรียนหนักมาก พอเริ่มขึ้นม.ต้นก็เริ่มรู้สึกต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มืดมนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด......
รุกิ : โชคุงผู้แสนมืดมน (หัวเราะ)
โช : นั่นแหละ มันไม่หายไปจนหมดซะทีอะ!
รุกิ : ฉ..ฉันเข้าใจนะ...... มันก็พูดยากเนอะ (หัวเราะ) แต่มันไม่ใช่อีกแล้วล่ะ พอเป็นนักร้องนำ ก็มีออร่าสุดๆ (หัวเราะ) ส่วนฉันเนี่ย ไม่เห็นจะมีออร่าแบบนั้นบ้างเลย (หัวเราะ)
โช : ไม่หรอกครับ ...หลังจากที่เริ่มต่อต้าน ก็รู้สึกได้ว่า ในหัวใจมันมีส่วนที่มืดมิดอยู่ ผมพยายามตามหาแสงสว่าง ตอนม.ต้นเลยตัดสินใจเข้าชมรมบาสเกตบอล แต่เพราะเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถลงแข่งได้ นั่นเป็นจุดพลิกผันในชีวิตเลยล่ะ
รุกิ : อุบัติเหตุ?
โช : ครับ รถชนน่ะ ก็เลยลงแข่งไม่ได้ จากนั้นก็ไม่อยากจะทำอะไรเลยสักอย่าง หนทางข้างหน้าก็ดำมืดไปหมด ตัวผมที่เหมือนไร้ความรู้สึกจ้องมองไปที่โปสเตอร์ของ LUNA SEA ซังที่ติดอยู่หน้า Yokohama Stadium ตอนนั้นผมน่าจะอยู่ม.ต้น ปี 3 ในที่สุดก็มองเห็นแสงสว่างแล้วล่ะครับ
รุกิ : อย่างนี้นี่เอง สรุปว่าไม่ใช่บาสเกตบอลนะ
โช : ครับ ไม่ใช่บาสเกตบอลหรอก แต่เป็นนี่! นี่แหละสิ่งที่ตามหา รุกิซังเองก็ตามรอย LUNA SEA มาเหมือนกันสินะ?
รุกิ : แน่นอน นี่เหมือนกับว่า.. กำลังจะเริ่มพูดถึงต้นแบบทางดนตรีของพวกเราเลยนะเนี่ย
โช : นั่นสินะ
รุกิ : หืม... แต่จนถึงตอนนี้เรื่องที่คุยกันมันมีอะไรที่ขัดๆ กันอยู่นะ คือ.. ถึงแม้เวลาพูดโชคุงจะดูอดกลั้นมากๆ แต่ที่จริงกลับ.. ดูผ่อนคลายมากขึ้น~ แล้วก็พูดอย่างเปิดเผยขึ้นเยอะ~
โช : อา.. เหรอครับ ขอโทษทีนะครับ!
รุกิ : เห้ย.. กลับมาพูดแบบทางการอีกแระ (หัวเราะ) แป๊บนะ.. เรามาเปลี่ยนโปรเจคของวันนี้เป็น『 การพบปะเพื่อปลดปล่อยโชคุง 』ดีกว่าป่ะ? (หัวเราะ)
โช : ไม่น๊า
ถึงรุกิซังจะบอกให้ผมพูดอย่างเปิดเผยบ้าง
แต่สำหรับผมน่ะ
ถ้าไม่ดื่มย้อมใจ
ก็ทำไม่ได้หรอกครับ (หัวเราะ)
รุกิ : ฟังที่เขาพูดสิ! เป็นทางการมาก ตึงมาก ตึงสุดๆ! แต่ว่า.. มันคงเป็นบุคลิกพื้นฐานของโชคุงล่ะเนอะ ดูจริงจัง เอาการเอางาน นั่นเป็นข้อดีของโชคุงเลยนะ ยิ่งไปกว่านั้น.. ในรุ่นของพวกเรา ความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องมันโคตรสุดโต่งอะ เพราะมันเข้มงวดมาก ผมเลยคิดว่า คงฝังแน่นไปซะแล้วล่ะมั้ง ผมเข้าใจดีเลยแหละ ก็เรามาจากรุ่นเดียวกันนี่เนอะ
--
รุกิคุงเองก็เป็นคนจริงจังสินะ
รุกิ : จริงจังสิ
จริงจังมาก
ถ้าให้พูดถึงตัวเองก็ขอบอกเลยว่า ฉันน่ะ.. เอาจริงเอาจังมากเลยนะ
โช : อย่างนั้นเหรอครับ ไม่นะ คือ.. ผมเริ่มกลายเป็นคนเข้มงวดก็ตอนเข้ามาในบริษัทล่ะมั้ง
(หัวเราะ) น่าจะเป็นตั้งแต่ที่เข้ามาบริษัทน่ะแหละ ผมคิดว่า ไม่ได้เข้มงวดมากมายหรอก ออกจะบ้าบอ (หัวเราะ)
แต่ว่า.. พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับวงก็จะเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้นทันทีเลยล่ะ ต้องให้มากพอที่จะทำจนสำเร็จ
ต้องให้มากพอที่จะเป็นวงที่ยอดเยี่ยมแบบรุ่นพี่ของเรา ในขณะเดียวกัน
ความเคารพนอบน้อมก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วยครับ
รุกิ : อื้อฮือ.. พวกเราก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ อย่างตอนที่ Alice Nine เข้ามาในบริษัท พวกเขาดูแน่วแน่มั่นคงจนเหมือนมีออร่าที่ทำให้ไม่อยากเข้าใกล้เลยอะ
โช : ก็ช่วงแรกๆ เราไม่ยุ่งกับใครเลยนี่ครับ คงเพราะกลัวมั้ง
รุกิ : บอกแล้วว่าเราน่ะเหมือนกัน ตอนที่เข้ามาที่บริษัทครั้งแรก ที่นั่นน่ะมีโครงสร้างทางสังคมแบบแนวดิ่ง [ คือ มีลำดับขั้น.. ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ ] พวกฉันเองก็มีความแน่วแน่อยู่เยอะ ดีไม่ดี.. คงเผลอแผ่ออร่าแบบ “อย่ามาคุยกับพวกเรานะเฟ้ย!” ออกมาเพียบแน่ๆ แต่ว่าฉันก็ยังประทับใจในตัวโชคุงเหมือนเดิมนะ (หัวเราะ)
แล้วตอนนี้เราก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว..
รู้จักวางตัวกันมากขึ้น.. ถ้าหากว่า ได้คุยกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก เราก็คงคิดแบบอึ้งๆ ว่า “เขาก็คุยดีนี่ ผิดคาดเลยแฮะ!” (หัวเราะ)
โช : ฮ่าๆๆ แต่โครงสร้างทางสังคมแบบแนวดิ่งเป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ ผมไม่คิดว่า สังคมแบบนี้เป็นสิ่งที่ผิดหรอก
รุกิ : ก็จริงนะ ถึงจะไม่เคยต้องไปอยู่ท่ามกลางสาธารณะชน แต่ก็คิดว่า คนที่จะอยู่ในจุดที่สุดเหนือคนอื่นได้ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ ต้องเป็นคนมีเหตุผล แม้แต่เรื่องการใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ และเพราะแบบนั้น โชคุงน่ะไม่มีทางหันไปทางสายนั้นได้แน่ๆ
จริงอยู่ที่ว่าเขาเข้มแข็งมากต่างกับภาพลักษณ์ภายนอกที่เราเห็น แต่เคยได้ยินข่าวลือมาว่า
ถึงแม้บรรยากาศรอบตัวโชคุงจะดูอ่อนโยนก็เหอะ
ถ้าโกรธขึ้นมา
เขาก็ไม่แม้แต่จะยื่นมือไปช่วยหรอกนะ (หัวเราะ)
โช : ฮ่ะฮ่าๆๆ ไม่ใช่น๊า
--
เป็นคนที่มักจะอ่อนโยน แต่ก็ปากแข็งอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ โชคุง (หัวเราะ)
โช : ครับ ปากแข็งจริงๆ นั่นแหละ
รุกิ : เป็นเรื่องที่ดีนะ ผมว่า คนเราก็ต้องรู้จักปากแข็งซะบ้าง แต่สมัยนี้คงไม่ดีแล้วล่ะมั้ง อ๊ะ ไม่นะ ไม่ๆ เดี๋ยวนี้เวลาพูดอะไรชอบติดปากคำว่า “เด็กสมัยนี้” ตลอดเลยอะ (หัวเราะ)
โช : เอ๊ะ เหมือนกันเลยครับ มีหลายเรื่องเลยล่ะที่ผมคิดเกี่ยวกับพวกเขาน่ะ!
รุกิ : ไม่ว่าเมื่อไหร่เรื่องพวกนี้ก็มีประเด็นให้คุยได้เสมอเลยเนอะ อ๊ะ แต่เรื่องพวกนี้น่ะ? ถ้าจะคุยกัน สำหรับฉันมันไม่เป็นไรไง แต่กับโชคุงเนี่ย ไม่เสียภาพพจน์หมดเหรอ? (หัวเราะ)
โช : ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรหรอกครับ!
รุกิ : ฉันก็คิดแบบนั้นแหละ ตามประสบการณ์ที่เคยอยู่ในสังคมแบบแนวดิ่ง.. อายุจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตของพวกเขา นาย.. นี่ฉันไม่ได้ถึงขั้นประหม่าอะไรหรอกนะ! ก็แค่เขินนิดหน่อยน่ะ......ไม่ได้ถึงขั้นนั้นแน่! ไม่เลยๆ
โช : ครับๆ เข้าใจแล้วล่ะ ผมกำลังคิดว่า กรุณาแนะนำตัวเองได้เต็มที่เลยนะครับ!
รุกิ : อื้อๆ ถึงแม้จะเขิน
ก็ควรจะแนะนำตัวเอง! แบบนั้นแหละ ไม่งั้นก็แบกรับมันต่อไปเหอะ! เดี๋ยวนะ..
โชคุงเองก็พูดอะไรบ้างสิ
-- เอ๊..
นี่เหมือนกำลังหนีเลยนะ (หัวเราะ)
รุกิ : ไม่ใช่สักหน่อย ก็เหมือนมีแต่ผมที่พูดอยู่คนเดียวเลยอะ
(หัวเราะ)
โช : พูดจากใจเลยนะ ผมว่า
ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาทับซ้อนมันขึ้นไปเรื่อยอย่างไม่รู้จักพอ.. นี่แหละเด็กล่ะ
รุกิ : ฮ่าๆๆ นี่! มันกำลังกลายเป็นบทสนทนาของคนแก่แล้วนะ (หัวเราะ) มากขึ้นเรื่อยๆเลย!?
โช : คอยหาทางหนี
เพื่อที่จะได้อยู่กับบางสิ่งที่สนุกสนาน
รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอเลยล่ะ
รุกิ : นั่นสินะ ก็มีเรื่องทำนองนั้นอยู่เหมือนกัน ฉันหมายถึงสมัยยุโทริน่ะ เราอยากจะมีวันหยุดสุดสัปดาห์เพิ่มขึ้น เพื่อพักผ่อน
แล้วสมัยยุโทริก็เริ่มต้นพอดี แต่ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบสมัยยุโทริหรอก ก็มันเป็นสมัยนีโอยุโทรินี่เนอะ
[แอดมิน : ยุโทริ (Yutori
Education)
เป็นนโยบายการศึกษาที่ลดเวลาเรียนและเนื้อหาหลักสูตร เมื่อก่อนจะเรียนจันทร์-ศุกร์เต็มวัน
และวันเสาร์อีกครึ่งวันค่ะ]
โช : นีโอยุโทริ! จริงสิ! สมัยของพวกเราน่ะ เป้าหมายก็คือ การจับมือสร้างข้อตกลงที่ดีกับทุกคนล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรู้สึกแบบนั้นแล้วแฮะ
รุกิ : ไม่เลยสักนิด
ไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลย
แต่ฉันเข้าใจนายน๊า~ (ทำเสียงเห็นอกเห็นใจ) สมัยนั้นน่ะ เราร้อนอย่างกับไฟ
ถึงจะสร้างข้อตกลงที่ดีก็ยังคงเป็นคู่แข่งกัน เราต่างพยายามที่จะเปล่งประกายมากขึ้น
มันคงแย่นะ ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คงเซ็งสุดๆอะ
ผมคิดว่า ถ้าเราไม่ได้เผชิญหน้ากับวิกฤตอะไรสักอย่าง เราก็ไม่มีทางเติบโต จะบอกให้นะ
โชคุง..
นายที่คิดเรื่องแบบนั้นด้วยใบหน้าอ่อนโยนนี่! น่ากลัวอะ!
โช : ฮ่าๆๆ
มันเป็นเรื่องปกตินะ
รุกิ : แต่ว่านะ.. เมื่อก่อนตอนที่รวบรวมสมาชิกทำวงอะ ก็ยังมีเขียนว่า「ความคิดแบบมืออาชีพของเรา」ด้วยล่ะ (หัวเราะ)
โช : ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..อืม พวกผมก็เคยเขียนแบบนั้นนะ ประมาณว่า「ความคิดแบบมืออาชีพ• Girls=X」(หัวเราะ)
รุกิ : อื้อๆ (หัวเราะ)
นายต้องมีจิตวิญญาณที่หิวโหยแบบนั้นแหละ
พอได้เมเจอร์เดบิวต์
ก็จะได้รู้อะไรหลายอย่างมากขึ้น
แต่เมื่อก้าวเข้ามาในบริษัท
เราไม่สามารถคิดว่าจะเป็นยังไงก็ได้
เพราะเพลงของเราจำเป็นต้องขายออก
ฉันคิดว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องดิ้นรนเพื่อตัวเอง แม้ว่าจะได้ร่วมงานกับบริษัทแล้ว ถ้าหากไม่ทำให้ดีที่สุด ก็ไม่สามารถดึงความแข็งแกร่งออกมาใช้ได้หรอก
โช : ส่วนพวกผมน่ะ ได้ร่วมงานกับบริษัทหลังจาก the GazettE ซัง แน่นอนว่า พวกคุณเป็นส่วนหนึ่งของวงใน PS Company ไปแล้ว ในสถานการณ์นั้น พวกผมรู้สึกนับถือมากๆเลยล่ะ
แต่ในทางตรงข้าม
พอได้ร่วมงานกับบริษัท
ถึงแม้พวกเรายังไม่ได้เก่งอะไรมากมาย
แต่ก็ไม่อยากให้ใครคิดว่าเราจะขายไม่ออกหรอกครับ
ดังนั้น.. นั่นคือ เหตุผลที่ทำให้เราฝึกซ้อมอย่างหนัก
รุกิ : นั่น! นั่นแหละคือจิตวิญญาณที่หิวโหยอย่างที่ฉันหมายถึงไงล่ะ แต่บอกตรงๆเลยนะ ฉันน่ะคิดว่า Alice Nine ยอดเยี่ยมสุดๆเลย.. เพื่อที่จะเติบโตขึ้น เรามักติดอยู่กับแนวเพลงที่เราคิดว่ามันดีแล้ว และก็พยายามดิ้นรนอย่างไม่ลดละ
จนถึงตอนนี้.. เราก็ไม่ค่อยพยักหน้าเออออ
และมักจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราไม่ได้เป็นคนอนุมัติเสมอ ฉันคิดว่าพวกเราน่ารำคาญนิดหน่อยนะ
แต่บางอย่างที่ตรงข้าม
มันก็ไม่ใช่ตัวเราน่ะ
โช : นั่นสินะ
รุกิ : อ่าห๊ะ นี่จริงจังนะเนี่ย (หัวเราะ)
โช : จริงจังสุดๆเลยล่ะ (หัวเราะ)
-- ทั้งสองคนเนี่ย เหมือนกันตรงเข้ากับคนอื่นยากสินะ
รุกิ : ผมไม่ค่อยเข้าสังคมน่ะ
โช : อา.. ผมก็เหมือนกันครับ
รุกิ : ถ้าหากใครสักคนไม่สนใจในความเห็นของผม ผมก็ไม่ค่อยอยากคุยกับเขาหรอก
โช : ผมเข้าใจดีเลยล่ะครับ
รุกิ : อื้อ
มันจะแตกต่างกับการไปเที่ยวกับคนแบบที่เราเดาทางออกมากเลยล่ะ ถ้าผมอยากจะรู้จักใคร..
เขาต้องเป็นคนที่น่าสนใจ
แต่ถ้าไม่มีอะไรน่าสนใจ
ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเขาเยอะแยะหรอก
-- แล้วคนแบบไหนที่เรียกความสนใจได้กันล่ะ?
รุกิ : ผมเป็นคนดีไซน์เครื่องแต่งกายแล้วก็ช่วยจัดการหลายเรื่องภายในวง
เพราะงั้นผมถึงได้สนใจคนที่สามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกัน ในแง่ของการมีวงเป็นของตัวเอง ถ้าเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาก็ยิ่งดูไม่น่าสนใจอะ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและสำคัญมากๆ
-- ที่พูดน่ะ..
มันมีความหมายแฝงนะ เพราะโชคุงเคยทำงานในร้านตัดเสื้อนี่นา
ตอนนี้ก็เลยได้รับผิดชอบเรื่องดีไซน์เสื้อผ้าให้กับ Alice Nine ด้วยเนอะ
โช : ครับ
ผมเป็นคนรับผิดชอบในส่วนนั้น
แต่ผมคิดว่ารุกิซังยอดเยี่ยมในเรื่องนี้มากกว่าอีกนะครับ เวลาที่ผมวางแผนงาน ในหัวก็จะคิดว่า “คงจะดีนะ ถ้าสามารถทำออกมาได้ดีแบบนั้นบ้าง”
แล้วพอทำเสร็จปุ๊บ
ก็แอบรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยแบบ.. “อุหว่า~ พลาดแล้วๆ!”
คนที่น่าสนใจตลอดเวลาเนี่ย.. ยกให้รุกิซังเลยล่ะครับ
-- เคยคิดบ้างรึเปล่าว่า
แฟนคลับมองพวกคุณแบบไหน?
โช : พวกประหลาด.. สินะ?
รุกิ : ใช่ซะที่ไหนกันเล่า!
-- ไม่ใช่ว่าเหมือนเจ้าชายเหรอ?
รุกิ : นั่นสินะ
ก็คิดแบบนั้นแหละ เหมือนเจ้าชาย
-- แต่ว่า
รุกิคุงไม่เห็นจะเหมือนเจ้าชายเลยนะ
รุกิ : ฮ่าๆๆ ก็ไม่ได้หมายถึงผมซะหน่อยนี่ ซางะซังก็เหมาะอยู่นะ (หัวเราะ)
แต่โชคุงนี่แหละเจ้าชายที่เพอร์เฟ็คที่สุด
โช : ตอนเด็กๆ
ผมมักจะรู้สึกอ่อนแอลงเวลาที่คิดว่าตัวเองเจ๋งนะครับ
รุกิ : นั่นไม่ช่วยอะไรหรอกนะ
เพราะนายน่ะเจ๋งอยู่แล้ว
โช :
ไม่หรอกครับ ผมไม่เจ๋งเลยสักนิด มันน่ากลัวนะที่จะคิดว่าตัวเองเจ๋งแค่ไหน
ถ้าทำได้ก็อยากทำลายตัวตนแบบนั้นทิ้งไปซะเหมือนกันครับ
รุกิ : อื้อๆ ฉันก็คิดแบบนั้นแหละ
ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งก็ตอนนั่งดูไลฟ์ล่ะ
พอคิดแบบนั้นก็อยากจะติดอยู่กับความเจ๋งนั้นไปจนถึงที่สุดเลย
โช : ไม่น๊า
นั่นเป็นไปไม่ได้เลยล่ะครับ!
รุกิ : นายเป็นคนขี้อายรึไงกัน?
โช : ก็ใช่น่ะสิครับ
รุกิ : น่ารักจริงน๊า (หัวเราะ)
-- 30 นาทีผ่านไปแล้วนา
หมดเวลาสนุกแล้วสิ
โช : อา.. จะเป็นอะไรมั้ย
ถ้าผมจะขอพูดอะไรสักหน่อย! มีเรื่องนึงที่อยากจะบอกรุกิซังน่ะครับ
รุกิ : พูดเลยๆ (หัวเราะ)
โช : รุกิซังไปเก็บภาพต่างๆ จากที่ไหนมาเหรอครับ คือ ผมอยากรู้ว่าไปเก็บข้อมูลสำหรับแต่งเพลงมาจากที่ไหนบ้าง ถ้าบอกผมสักอย่างล่ะก็..ผมคงตายตาหลับ
รุกิ : ถามงี้ก็ขึ้นสวรรค์ไปซะเลยนะ! (หัวเราะ) แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ! (หัวเราะ) ไม่นะ.. ไปเก็บข้อมูลมาจากที่ไหน? ฉันเองก็สงสัยเหมือนกันล่ะ แต่ก็ไม่มีที่ไหนเป็นพิเศษหรอก จริงๆนะ.. สำหรับฉัน..
ทั้งดนตรีและดีไซน์มันจะกลมกลืนกันได้ในตัวของมันเอง เราไม่ได้แยกไปช่วยกันเก็บข้อมูลอะไรหรอก......
แต่ว่า ฉันล่ะชอบเรื่องยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นลับหลังมากเลยล่ะ
(หัวเราะ) พวกเรื่องนินทาเนี่ยชอบมาก
(หัวเราะ)
เพราะมันทำให้ฉันได้ข้อมูลเยอะเลยนะ (หัวเราะ) ก็ฉันไม่ใช่คนเข้าสังคมนี่
แต่การได้รับรู้หลายเรื่องจากการนินทาเป็นอีกทางที่ฉันชอบล่ะ
โช : ผมคิดว่า เนื้อเพลงของรุกิซังสามารถสื่อถึงธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนมาก ถ้าหากมีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ ก็คงจะเห็นสิ่งที่ผิดเป็นถูก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่า
รุกิซังเป็นคนที่มิจิตใจที่บริสุทธิ์มากจากเนื้อเพลงที่เขาเขียน ส่วนของผมน่ะ
ส่วนมากเป็นเพลงที่มีเนื้อหาสวยงาม
ก็เคยคิดเหมือนกันว่าอยากจะปรับบางส่วนให้ดูแรงขึ้นบ้าง
รุกิ : เข้าใจแล้วล่ะ
โช :
เพราะแบบนี้แหละ รุกิซังถึงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมสุดๆ!
รุกิ : ฮ่ะ ฮ่าๆ อะไรของนายเนี่ย
จู่ๆก็ชม (หัวเราะ) แต่ก็ขอบคุณนะ (หัวเราะ)
โช : ผมยังอยากคุยด้วยอีกหน่อยน๊า กรุณาไปดื่มคลายเครียดกับผมบ้างนะครับ!
รุกิ : ได้สิ ตอนนี้เลยก็ได้นะ
Alice Nine เองก็พยายามต่อไปอย่างเต็มที่นะ
พวกฉันเองก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเหมือนกัน ใช่แล้วล่ะ..
พวกเราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อต้นสังกัดที่คอยสนับสนุนเรามาตลอด
โช : ครับ
เราจะทำให้ดีที่สุด! ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ!
รุกิ : เช่นกัน
ถ้าเราไปดื่มกัน อย่ามีพิธีรีตองมากนักเลยนะ
(หัวเราะ)
โช : จะพยายามแล้วกันนะครับ (หัวเราะ)